ภาษีคริปโต 

Cryptocurrency เป็นอีกหนึ่งเงินสกุลดิจิทัลที่ค่อนข้างใหม่ และกฎหมายภาษีบางประเทศยังไม่ได้กำหนดเกี่ยวกับภาษีคริปโต หน่วยงานด้านภาษีทั่วโลกจึงประสบปัญหาในการกำหนดและวิธีจัดประเภทและเก็บภาษีสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งมีการจัดเก็บบางประเทศเท่านั้น

และธุรกรรมทางด้านนี้มักจะไม่เปิดเผยตัวตน และผู้ค้าสกุลเงินดิจิทัลจำนวนมากถือครองทรัพย์สินของตน ผ่านการแลกเปลี่ยนและกระเป๋าเงินหลากหลายรายการทำให้การติดตามการถือครองและการซื้อขายอย่างถูกต้องทำได้ยาก

กฎหมายภาษี Crypto ทั่วโลก

สำหรับกฎหมายภาษีที่ควบคุม cryptocurrency นับว่าแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศอาจมีการจัดเก็บภาษีหรือบางประเทศอาจจะไม่มีการจัดเก็บภาษีคริปโตนี้ได้ อาทิเช่น 

ในสหรัฐอเมริกา Internal Revenue Service (IRS) ถือว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นทรัพย์สินเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษี ดังนั้นภาษีกำไรจากการขายหุ้นจึงนำไปใช้กับธุรกรรมสกุลเงินดิจิตอลได้ และผู้เสียภาษีต้องรายงานกำไรและขาดทุนในการคืนภาษีให้กับกรมสรรพากรของอเมริกาในการจัดเก็บภาษีเงินได้

ในออสเตรเลีย cryptocurrency ถือว่าเป็นทรัพย์สินเพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษี ซึ่งคล้ายกับสหรัฐอเมริกา โดยกฎหมายภาษีของออสเตรเลีย ยังถือว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นรูปแบบหนึ่งของสกุลเงิน หมายความว่าธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลนั้น สามารถเรียกภาษีสินค้าและบริการ (GST) ได้ GST ใช้กับธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่ซื้อหรือขายภายในออสเตรเลียได้

ในสหภาพยุโรป (EU) โดยกฎหมายการเก็บภาษี cryptocurrency จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ อย่างเช่น เยอรมนี ถือว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นเงินส่วนตัว ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อาทิ ฝรั่งเศส ถือว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ที่ต้องเสียภาษี ซึ่งสหภาพยุโรปได้ปรับปรุงกฎการต่อต้านการฟอกเงิน โดยกำหนดให้การทำธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และพร้อมกับลงทะเบียนกับหน่วยงานระดับประเทศในประเทศสมาชิก EU ด้วยเช่นกัน

ภาษีคริปโตในไทย

ภาษีคริปโตนั้น นับว่านักลงทุนในไทยกำลังจับตามองและให้ความสนใจเป็นอย่างมากในเรื่องของ ภาษีคริปโตเคอร์เรนซี โดยทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการอนุมัติการร่างกฎหมายตามมาตราการบรรเทาภาระภาษีสำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยอนุมัติให้ทำการยกเว้นภาษี คริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2565 ถึง 31 ธ.ค. 2566  เป็นที่เรียบร้อย

การจัดเก็บภาษีของ Cryptocurrencies ในประเทศไทย

การจัดเก็บภาษีในไทยนั้น เป็นการจัดเก็บภาษีของสกุลเงินดิจิทัลเป็นไปตามประมวลรัษฎากรของประเทศ ซึ่งเป็นการกำหนดให้สกุลเงินดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ทางกรมสรรพากรจึงระบุว่า รายได้ทั้งหมดที่เกิดจากสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องเสียภาษีเงินได้เช่นกัน ซึ่งหมายความว่าใครก็ตามที่มีรายได้จากสกุลเงินดิจิตอลในประเทศไทยจะต้องเสียภาษีเงินได้จากรายได้ของตน

ซึ่งอัตราภาษีที่เกิดจากสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยนั้น จะแตกต่างกันไปตามระดับรายได้ของแต่ละบุคคล โดยอัตราภาษีเริ่มตั้งแต่ 5% ถึง 35% โดยการจัดเก็บภาษีจะขึ้นอยู่กับระดับรายได้ของแต่ละบุคคลนั่นเอง อัตราภาษีเงินได้สำหรับสกุลเงินดิจิทัลนั้น จะเหมือนกับสินทรัพย์หรือการรับรายได้ของบุคคลธรรมดานั่นเอง

การจัดเก็บภาษีการขุด Cryptocurrency

สำหรับการขุด Cryptocurrency นั้นเป็นกระบวนการตรวจสอบการทำธุรกรรมบน blockchain โดยการแก้สมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน สำหรับนักขุดนั้นเมื่อขุดสำเร็จจะได้รับรางวัลเป็นเหรียญ คริปโต นั่นเอง และสำหรับประเทศไทย รายได้จากการขุด cryptocurrency ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีและต้องเสียภาษีเงินได้

อัตราภาษีสำหรับการขุด cryptocurrency ในประเทศไทยนั้นเหมือนกับรายได้รูปแบบอื่นๆ คือ อัตราภาษีมีตั้งแต่ 5% ถึง 35% ขึ้นอยู่กับระดับรายได้ของแต่ละบุคคล ในการขุดเจอเหรียญนั่นเอง

ภาษีของการซื้อขาย Cryptocurrency

อัตราภาษีสำหรับการซื้อขาย cryptocurrency ในประเทศไทยนั้นเหมือนกับรายได้รูปแบบอื่นๆ ซึ่งหมายความว่าอัตราภาษีมีตั้งแต่ 5% ถึง 35% ขึ้นอยู่กับระดับรายได้ของแต่ละบุคคล กรมสรรพากรของประเทศไทยนั้นได้ออกระเบียบกำหนดให้การแลกเปลี่ยนต้องรายงานกิจกรรมการค้าทั้งหมดต่อรัฐบาลไทย ให้ได้รับการรายงานและเสียภาษีตามรายได้นั้นๆ

ภาษีของการลงทุน Cryptocurrency

สำหรับการลงทุนเงินดิจิทัล คือการถือครองสกุลเงินดิจิทัลเพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุนระยะยาวนั้นกำไรที่เกิดจากการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีและต้องเสียภาษีเงินได้ ซึ่งอัตาภาษีมีตั้งแต่ 5% ถึง 35% ขึ้นอยู่กับระดับรายได้ของแต่ละบุคคล เช่นกัน

แต่กับการลงทุนในคาสิโนบิทคอยน์ที่ไม่ถูกกฏหมายในไทย แต่ถูกกฏหมายในประเทศต้นทางคุณจะต้องเสีย ภาษีรายได้จากการนำเงินเข้ามาไม่ว่าด้วยวิธีได เรทเดียวคือ 35% และอาจจะต้องแจ้งที่มาของเงินว่ามาจากที่ได คาสิโนบิทคอยน์ คาสิโนที่คุณบินไปเล่นในต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีรายได้จากทางไหน แต่หากคุณไม่แจ้งแล้วมีรายได้ถึงกำหนดจะถูกสรรพากรตรวจสอบแบบเข้มข้นอย่างที่สุด

การเก็บภาษีจากการ เสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICOs)

สำหรับการการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) นั้น ถือว่าป็นวิธีการระดมทุนที่เกี่ยวข้องกับการขายสกุลเงินดิจิตอลใหม่ให้กับนักลงทุน ถือว่าเป็นรายได้สำหรับประเทศไทยนั้น ICO จึงต้องเสียภาษีด้วยเช่นกัน ในส่วนของอัตราภาษีสำหรับ ICO คือ 15% อัตรานี้ใช้ได้กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ 

ข้อกำหนดในการรายงาน ภาษีคริปโต ในไทย

ในประเทศไทยนั้น บุคคลและธุรกิจจำเป็นต้องรายงาน รายได้ที่เกิดจากสกุลเงินดิจิทัลต่อกรมสรรพากร หากไม่รายการอาจส่งผลให้เกิดการลงโทษและค่าปรับได้

บุคคลและธุรกิจต้องเก็บบันทึกธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดอย่างถูกต้อง รวมถึงการขุด การซื้อขาย และการลงทุน บันทึกเหล่านี้ ควรประกอบด้วย วันที่ของธุรกรรม จำนวนเงิน และมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัล ณ เวลาที่ทำธุรกรรม การแลกเปลี่ยน Cryptocurrency ในประเทศไทยจะต้องรายงานกิจกรรมการซื้อขายทั้งหมดต่อรัฐบาล

หากไม่ทำการยื่นเสียภาษีคริปโต จะเกิดผลกระทบอย่างไร

หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายภาษี crypto นั้น อาจมีผลร้ายแรงขึ้นได้ อย่างเช่น

สหรัฐอเมริกา หากไม่รายงานธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลอาจส่งผลให้เกิดค่าปรับและค่าดอกเบี้ย โดย IRS ได้เพิ่มความพยายามในการบังคับใช้กฎหมาย และขณะนี้กำลังใช้ซอฟต์แวร์เพื่อติดตามธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มเติม

ออสเตรเลีย หากผู้เสียภาษีที่ไม่รายงานธุรกรรม cryptocurrency อาจถูกปรับและถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย สำนักงานภาษีของออสเตรเลีย (ATO) ได้เพิ่มการบังคับใช้และทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านภาษีระหว่างประเทศเพื่อระบุผู้เสียภาษีที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

สหภาพยุโรป การไม่ปฏิบัติตามกฎ ต่อต้านการฟอกเงินอาจส่งผลให้ถูกปรับและถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย สหภาพยุโรปยังได้นำเสนอข้อเสนอเพื่อสร้างหน่วยงานเดียวทั่วทั้งสหภาพยุโรปเพื่อควบคุม cryptocurrency ซึ่งอาจส่งผลให้มีความพยายามในการบังคับใช้ที่เข้มงวดมากขึ้น

สถานการณ์ การเสียภาษีคริปโตในไทย

ทาง ครม. ได้มีมติอย่างเอกฉันท์เป็นที่เรียบร้อยโดยมี 2 ประเด็นที่นักลงทุนเงิน ดิจิทัลได้เฮกัน นั่นก็คือประเด็นแรก ทำการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการโอนคริปโตเคอร์เรนซี หรือโทเคนดิจิทัลใน Exchange ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2565 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566  นี้

และทำการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการโอนสกุลเงินดิจิทัลอที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (Retail CBDC) ตามโครงการพัฒนาและทดสอบการใช้งานสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย สำหรับการใช้งานในภาคประชาชน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2565 ไปถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566 นี้

การบรรเทาเรื่องภาระภาษีสำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น จะช่วยให้ผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ได้ง่ายตามกฎหมาย และได้รับความเป็นธรรมในการเสียภาษีมากยิ่งขึ้น ช่วยให้การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของนักลงทุนที่เกิดมากยิ่งขึ้นใน Exchange ของประเทศไทย ซึ่งได้สร้างความน่าเชื่อถือ ปลอดภัย ทำให้ประชาชนได้มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นในการใช้เงินดิจิทัล